วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553


เนื้อเพลง: แบบไหนที่เธอรัก
อัลบั้ม:
ดู เนื้อเพลง ทุกเพลงของ ซีล เพลงประกอบละคร เงารักลวงใจ

จิตใจทำด้วยอะไร เหตุใดจึงไม่รักกัน
ทุ่มเทให้ทุกๆ วัน ตอบแทนด้วยการเฉยๆ
ไม่เหมือนที่ทำให้เขา กี่ครั้งเธอยอมให้หมดเลย
อยากจะรู้จริงๆ อยากจะรู้จังเลยเหตุใดไม่มีค่าพอ

ไม่รู้ ตอบตัวเองไม่ได้สักครั้ง
แค่อยากปรับปรุงตัวเองให้เธอพอใจ
ได้เป็นที่เธอต้องการ

จะต้องทำยังไงแบบไหนที่เธอจะรัก
ต้องแพ้ให้คนอื่นเขา ซ้ำมาซ้ำไปไม่รู้ทำไม
ต้องทำยังไง สุดท้ายเธอถึงจะรัก
อยากรู้ต้องทำยังไง ช่วยเปิดหัวใจ
ให้ฉันเข้าไปได้ไหมเธอ

ต้องเป็นคนนอกสายตาอย่างนี้ไปนานเท่าไหร่
ต้องเป็นคนไม่มีใคร ให้ทรมานถึงไหน
อย่างน้อยถ้าเธอสงสาร อยากขอให้เธอแค่เปิดใจ
อย่าใจร้ายเลยเธอ อย่าใจร้ายเกินไป
อย่าทำกันแบบนี้เลย

ไม่รู้ ตอบตัวเองไม่ได้สักครั้ง
แค่อยากปรับปรุงตัวเองให้เธอพอใจ
ได้เป็นที่เธอต้องการ

จะต้องทำยังไงแบบไหนที่เธอจะรัก
ต้องแพ้ให้คนอื่นเขา ซ้ำมาซ้ำไปไม่รู้ทำไม
ต้องทำยังไง สุดท้ายเธอถึงจะรัก
อยากรู้ต้องทำยังไง ช่วยเปิดหัวใจ
ให้ฉันเข้าไปได้ไหม

จะต้องทำยังไงแบบไหนที่เธอจะรัก
ต้องแพ้ให้คนอื่นเขา ซ้ำมาซ้ำไปไม่รู้ทำไม
ต้องทำยังไง สุดท้ายเธอถึงจะรัก
อยากรู้ต้องทำยังไง ช่วยเปิดหัวใจ
ให้ฉันเข้าไปได้ไหมเธอ






































การดูแลผิวหน้าแบบง่าย ๆ ที่บ้าน

เอนไซม์มะละกอผลัดผิว

การใช้ เอนไซม์จากมะละกอช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหน้า การพอกมะละกอบดละเอียดบนผิวหน้าในระหว่างอบไอน้ำจะช่วยทำให้หน้าขาว ใส ยิ่งขึ้น
การเตรียมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร นำมะละกอสุกมาบดละเอียด ในขณะที่เตรียมน้ำเดือดเพื่ออบไอน้ำผิวหน้าเมื่อน้ำพร้อมแล้ว ให้ทามะละกอสุกบนใบหน้า โดยหลีกเลี่ยงรอบดวงตา ต่อจากนั้นจึงอังหน้ากับชามอ่างภายใต้ผ้าขนหนูตามวิธีการอบไอน้ำผิวหน้าได้ เลย

โทนเนอร์น้ำผลไม้

ลังจากล้าง หน้าแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน และปรับสภาพ pH ของผิวหน้า หากเบื่อใช้โทนเนอร์ที่มีขายตามท้องตลาด ผักและผลไม้นั้นมีวิตามินและเอนไซม์ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนเสมอ กันทั่วใบหน้าและช่วยขัดผิวได้

วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเช่นกัน ให้นำผลไม้ที่ชอบ โดยอาจเลือกจากสรรพคุณของผลไม้ นำผลไม้มาประมาณ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นหรือบดให้ละเอียด เติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ลงไปประมาณ 25 มิลลิตร ทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกากออกไป เก็บแต่น้ำไว้ใช้

ข้อควรระวังคือ ต้องทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำโทนเนอร์น้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นชาม เครื่องปั่น มีด ผ้าขาวบาง หรือแม้กระทั่งมือตัวเองให้สะอาด มิเช่นนั้นโทนเนอร์น้ำผลไม้ที่ได้ แทนที่จะช่วยทำความสะอาดผิวอาจจะทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองเนื่องจากสิ่ง สกปรกตกค้างจากภาชนะเหล่านั้น

สรรพคุณของผลไม้แต่ละประเภท

1. ว่าน หางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2. แตงกวา ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวมัน
3. ฝรั่ง ขัดผิว มีส่วนผสมของกรด AHA
4. ตะไคร้ ทำความสะอาดผิว สำหรับทุกสภาพผิว
5. สับปะรด ขัดผิว มีส่วนผสมของ AHA
6. มะขาม ขัดผิว ช่วยให้ผิวขาว เหมาะสำหรับผิวมัน

ไพล และ ผงลูกจันทน์เทศ ขัดผิว

ส่วน ผสมประกอบด้วย ไพลสด 1 ช้อนโต๊ะ และ
ผงลูกจันทน์เทศ 1 ช้อนชา
ตัวขัดผิวนี้มีส่วนผสมของไพล ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นยาครอบจักรวาลสำหรับผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและบำรุงผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เมื่อขัดเสร็จแล้วผิวจะมีกลิ่นเผ็ดร้อนนิดๆ
ล้างไพลให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก ปั่นด้วยเครื่องปั่น จากนั้นเทผงลูกจันทน์เทศลงไป คลุกเคล้าจนเข้ากัน ทาลงบนใบหน้าและขัดเบาๆจนทั่วหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

น้ำผึ้ง และ แตงกวา ขัดผิว

ส่วนผสม ประกอบไปด้วย น้ำผึ้ง 8 ออนซ์
น้ำมะนาวคั้น 10 หยด
แตงกวา ฝานเป็นแผ่นบางๆ
น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ช่วยลดความระคายเคืองของผิว และบรรเทาอาการอักเสบ ในขณะเดียวกันน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว
ล้างหน้าให้สะอาด ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก
เมื่อเสร็จขั้นตอนแรกแล้วให้วาง แผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็นและตึง และเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆอีกครั้ง

ขมิ้นพอกผิว

ส่วนผสมประกอบด้วย ขมิ้นสด 10 กรัม
ถั่วเหลือง 15 กรัม
ขมิ้น เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักมีกคุ้นเป็นอย่างดีมีสรรพคุณลดอาการอักเสบและสมาน ผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และไฟโตเอสโตรเจน ที่ช่วยทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น
วิธีการเตรียม ให้นำขมิ้นมาล้างและปอกเปลือกออกปั่นให้ละเอียด หากเป็นสมัยปู่ยาตาทวดเราใช้ครกกับสากบดซึ่งกินเวลานานเกินไป ไม่ทันใจสาวสมัยใหม่ ปัจจุบันใช้เครื่องปั่นจะสะดวกกว่า
เมื่อปั่น ขมิ้นเสร็จแล้วให้พักไว้ นำถั่วเหลืองไปล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวด้วยกล้วย

ส่วน ผสมประกอบด้วย กล้วยสุก ผลขนาดกลาง 2 ผล
Wheat germ oil ½ ช้อนชา
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ 2 หยด
ตัว พอกหน้านี้อุดมไปด้วยวิตามิน เหมาะสำหรับฟื้นฟูสภาพผิว และทำให้ผิวสดชื่นหลังจากวันอันเหนื่อยล้า กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ส่วนน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ ช่วยปรับสภาพผิว ลดเลือนรอบแผลเป็น และน้ำผึ้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว
ปั่นกล้วยแล้วใส่ส่วนผสมที่ เหลือทั้งหมดลงไปคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วนโทนเนอร์ จากนั้นจึงทาตัว พอกลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกำจัดตัวพอกที่ตก ค้างอยู่ออกให้หมด

น้ำผึ้งและส้มกระชับผิวหน้า

ส่วนผสม ประกอบไปด้วย ส้มหรือส้มจีน 1 ชิ้น
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ 1 หยด
เป็นตัวพอกหน้าที่ช่วย ให้ผิวนุ่มและสดใสขึ้น ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง เป็นตัวพอกหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวสามารถทำได้บ่อยครั้ง เพื่อปรับปรุงสภาพผิวและช่วยให้จุดด่างดำจางลง
บิส้มให้น้ำส้มออก มา ถูส้มให้ทั่วใบหน้า กรดผลไม้ในส้มช่วยทำความสะอาดผิวและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เมื่อทั่วแล้วให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆเช็ดออกเบาๆ
เมื่อ เสร้จขั้นตอนแรกแล้ว ผสมน้ำผึ้งเข้ากับน้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ และทาลงบนใบหน้า นวดเบาๆทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

กล้วยและอะโวคาโดพอกหน้าสำหรับผิวแห้ง

ส่วน ผสมประกอบไปด้วย กล้วยสุกผลเล็ก 1 ผล
อะโวคาโดสุกผลเล็ก 1 ผล
โยเกิร์ตเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันวิตามินอี 2 หยด
ผลลัพธ์ที่ได้จาก treatment นี้ คือ หน้าลื่น เรียบเนียน และมีกลิ่นหอม
บดกล้วยและอะโวคาโดเข้าด้วย กันจนข้นและมีสีเขียวผสมโยเกิร์ตและน้ำมันวิตามินอีลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าและอบไอน้ำผิวหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิด หลังจากนั้นจึงทาตัวพอกลงบนใบหน้านวดและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ทีนี้คุณก็มีสูตรขัด พอกครบถ้วน อีกทั้งเป็นสูตรที่ไม่ยากเย็นอีกต่างหาก สุดท้ายหน้าจะใสหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะมีเวลาในการทำ treatment อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ การดูแลผิวพรรณด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแบบนี้ ต้องอาศัยเวลาและความอดทนค่ะ แต่รับรองได้ว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอนต่อการรอคอย

เพลง รอเธอโสด
ศิลปิน SunShine

รู้ไหมว่าใครรออยู่ตรงนี้
บางทีเขาคงจะได้แต่รอ
ตั้งหน้าตั้งตาจนเกือบจะท้อ
รอนานเท่าไรก็ไม่บ่น
รู้ไหมว่าใครคนหนึ่งขี้เหงา
รอนานแล้วเขาก็ยังอดทน
ยิ่งพูดยิ่งคุยก็ยิ่งสับสน
เพราะรักเสียจนพูดไม่ถูก
ยังไงก็รอฟังบอกหน่อยนะ

อย่าปล่อยให้มันคาอยู่อย่างนี้
ฉันรอเธอโสดอยู่รู้หรือเปล่า
ถ้าเลิกกับเขาเมื่อไร ก็บอกกันนะ
ไม่ได้จะพูดให้เลิกกัน แค่อยากให้รู้ว่า
ยังรออยู่นะ ถ้าเธอจะโสด

รู้ไหมว่าใครมีข้อเสนอ
แต่กลัวว่าเธอไม่กล้าสนอง
ไม่ได้ต้องการไม่ได้เรียกร้อง
แค่อยากให้ลองคิดดีดี
ยังไงก็รอฟังบอกหน่อยนะ

อย่าปล่อยให้มันคาอยู่อย่างนี้
ฉันรอเธอโสดอยู่รู้หรือเปล่า
ถ้าเลิกกับเขาเมื่อไร ก็บอกกันนะ
ไม่ได้จะพูดให้เลิกกัน แค่อยากให้รู้ว่า
ยังรออยู่นะ ถ้าเธอจะโสด

ยังไงก็รอฟังบอกหน่อยนะ

อย่าปล่อยให้มันคาอยู่อย่างนี้
ฉันรอเธอโสดอยู่รู้หรือเปล่า
ถ้าเลิกกับเขาเมื่อไร ก็บอกกันนะ
ไม่ได้จะพูดให้เลิกกัน แค่อยากให้รู้ว่า
ยังรออยู่นะ ถ้าเธอจะโสด

ถ้าเลิกกับเขาเมื่อไร ก็บอกกันนะ
ไม่ได้จะพูดให้เลิกกัน แค่อยากให้รู้ว่า
มีฉันอยู่นะที่รอเธอโสด

สูตรการทำไก่ราดซอสโยเกร์ต




เครื่องปรุง


เนื้ออกไก่หรือสันในไก่


500


กรัม
ลูกกระวานเทศ 2 เม็ด
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
ขิงขูดละเอียด 1 ช้อนชา
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับ 1 หัว
เกลือสมุทร 1/4 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1/4 ช้อนชา
เมล็ดอัลมอนด์ หั่นแท่งยาวอบ 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
1. ล้างเนื้อไก่ หั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่ลงในอ่างผสม พักไว้

2.ทุบลูกกระวานให้แตกเอาเมล็ดด้านในคั่วกระทะด้วยไฟอ่อนพอหอม ปิดไฟ นำไปโขลกพอแตกและมีกลิ่นหอม ใส่ถ้วยเตรียมไว้

3. ผสมโยเกิร์ต เมล็ดลูกกระวานเทศที่คั่ว และขิง เข้าด้วยกันในอ่างผสม พักไว้

4. ผัดหอมใหญ่ในกระทะน้ำมันด้วยไฟอ่อนจนสุกนุ่ม ใส่เนื้อไก่ลงผัดจนเหลืองและมีสีน้ำตาลเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ผัดพอทั่ว เติมน้ำ เคี่ยวนานประมาณ 20-25 นาที หรือเนื้อไก่สุกนุ่มและน้ำงวดลง ปิดไฟ
5. ใส่โยเกิร์ตที่ทำลงในหม้อไก่ คนให้เข้ากัน ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยพาร์เลย์หรือผักกาดคอส โรยอัลมอนด์ เสิร์ฟ


วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10การผจญภัยของโดเรมอน

10 การผจญภัยของโดราเอมอนที่น่าจดจำ

หลัง จากตอนแรกที่การผจญภัยของโดราเอมอนเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ตลอดระยะเวลา 25 ปี ได้มีตอนใหม่ ๆ ออกมาตลอดทุกปี จึงถือเป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่นเขา ที่หนึ่งปีต้องสร้างโดราเอมอนออกฉาย 1 ตอน ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้ก็ได้ผ่านมาถึงตอนที่ 24 แล้ว....ฉบับนี้เราคัด 10 ตอนที่โดดเด่นที่สุดของโดราเอมอน ย้อนรำลึกให้ได้หายคิดถึง....

ไดโนเสาร์ของโนบิตะ

เนื้อ เรื่อง: โนบิตะได้ไปขุดหาไข่ไดโนเสาร์เพื่อให้เพื่อน ๆ ของเขายอมรับ ว่าบนโลกนี้ยังมีไดโนเสาร์อยู่ และแล้วโนบิตะก็ไปเจอก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งโนบิตะคิดว่ามันเป็นไข่โดราเอมอน จึงช่วยทางอ้อมให้ฟักออกมาเป็นตัว ไดโนเสาร์พันธุ์คอยาว (นึกไม่ออกดูหน้าเนสซี่ครับ) ชื่อว่า พีซึเกะ แต่เพราะสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสม ทำให้ต้องจำใจพามันย้อนกลับไปยังยุคไดโนเสาร์ สุดท้ายโนบิตะ, โดราเอมอน และกลุ่มเพื่อนก็ต้องย้อนกลับไปช่วยพีซึเกะ เพื่อพาไปยังที่อยู่ที่แท้จริงของมัน นี่คือที่มาของการเดินทางในครั้งนี้...

สิ่งที่ทำให้น่าจดจำ:โลกที่ เต็มไปด้วยไดโนเสาร์สิ่งเหล่านี้คือความใฝ่ฝันของเด็ก ๆ แทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเจอะเจอ ไทแรนโนซอรัส ด้วยตาตัวเอง เด็ก ๆ ทุกคนจึงมักจินตนาการใฝ่ฝันว่าบนโลกนี้ยังมีไดโนเสาร์อยู่ และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือ การผจญภัยของโดราเอมอนตอนแรกเริ่มครับ!

โนบิตะนัก บุกเบิกอวกาศ

เนื้อเรื่อง: มีอยู่วันหนึ่ง โนบิตะฝันว่าตัวเองอยู่ในที่อีกที่หนึ่ง เป็นยานอวกาศที่มีสัตว์เลี้ยงลักษณะเหมือนแมว แล้วมีเด็กผู้ชายอีกหนึ่งคนอยู่ด้วย แต่ยังไงโดราเอมอนก็ไม่เชื่อ จู่ ๆ คืนหนึ่งแมวตัวนั้นก็โผล่ออกมาจากใต้ที่นอนของโนบิตะ... โนบิตะกับโดราเอมอนได้รู้จักกับเด็กผู้ชายที่ชื่อ โรพอล จากดาวโคยะ ดวงดาวที่มีสัตว์รูปร่างประหลาด ๆ และธรรมชาติที่สวยงามแต่ก็มีพวกกลุ่มคนร้ายคิดยึดครองดวงดาว ทำให้โนบิตะต้องร่วมแรงใจกับเพื่อน ๆ เพื่อปกป้องดวงดาวแห่งนี้....

สิ่ง ที่ทำให้น่าจดจำ:นี่คือตอนต่อหลังจากความสำเร็จของตอนแรกเป็นการเล่าเรื่อง ของโลกอีกฟากที่ยากต่อการจินตนาการ ใครจะรู้ว่าดวงดาวอีกฟากมีสัตว์รูปร่างแปลกตากว่าโลกของเราขนาดไหน!? เหมือนได้ดูหนังไซไฟจินตนาการสูงส่ง การผจญภัยครั้งนี้คุณจะได้เห็นถึงความกล้าหาญชั้นสูงสุดของโนบิตะด้วยครับ

ตะลุยปราสาทใต้สมุทร

เนื้อ เรื่อง:เข้าถึงวันหยุดฤดูร้อนกลุ่มโนบิตะกับเพื่อนต่างคนต่างต้องการไปคนละ สถานที่โนบิตะกับซิซุกะอยากไปภูเขา แต่ไจแอนท์กับซูเนโอะอยากไปทะเล สุดท้ายโดราเอมอนต้องแก้ปัญหาด้วยการพาไปปีนภูเขาใต้ท้องทะเล ทั้งสี่ตอบตกลง โดยไจแอนท์กับซูเนโอะมีเล่ห์นัยอยู่นิด ๆ และทั้ง 5 ก็ออกเดินทางไปใต้มหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมกับรถเดินทางที่มีชื่อว่า บัคกี้ และได้พบกับการผจญภัยครั้งใหม่ ที่มีทั้งปลาหมึกยักษ์, มนุษย์ใต้สมุทร และปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า....

สิ่งที่ทำให้น่าจดจำ:ลองนึกสิ ครับว่า ถ้าคุณสามารถเดินทางใต้ทะเลได้คุณจะไปมั้ย!? มีทั้งปลาทะเลหายาก ปะการังสีสวยงาม โดยเราหายใจในทะเลได้สบาย ๆ เป็นใครก็อยากไปเชื่อเหอะ! และนี่ก็เป็นอีกตอนที่แสดงออกมาให้เห็นถึงจิตนาการของฟุจิโกะ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสนุกสนานแฝงสาระ

สงครามอวกาศ

เนื้อ เรื่อง:มีอยู่คืนหนึ่ง โดราเอมอนกับโนบิตะได้พบกับ พาพิ ประธานาธิบดีของดาวพิริก้า ที่ดวงดาวแห่งนั้นเกิดการกบฏขึ้นทำให้ต้องหนีมาโลก แต่กลุ่มกบฏก็ยังตามมา แล้วจับตัวซิซุกะไปเป็นตัวประกัน ทำให้พาพิต้องใช้ตัวเองแลกกับตัวซิซุกะ พวกกลุ่มเด็กทั้ง 5 จึงต้องออกเดินทางไปดวงดาวพิริก้า เพื่อช่วยพาพิและปกป้องดวงดาวพิริก้าให้รอดปลอดภัย...

สิ่งที่ทำให้ น่าจดจำ:ในช่วงที่มีเหตุวุ่นวายเกี่ยวกับสงครามออกมาให้ได้ยินได้ฟังตลอด เวลาส่งผลให้การ์ตูนตอนนี้สอนให้เด็ก ๆ รู้ว่า การทำสงครามแย่งชิงกันเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเองหาใช่วิธีการที่ถูกต้อง สันติวิธีกับความสามัคคีต่างหากที่ทำให้โลกใบนี้สงบสุข

กำเนิดประเทศญี่ปุ่น

เนื้อ เรื่อง:โนบิตะรู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวถูกบังคับมากเหลือเกิน จึงต้องการที่จะไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บวกกับเพื่อน ๆ ทั้งหลายก็ทะเลาะกับที่บ้าน รวมทั้งโดราเอมอนด้วย (เพราะที่บ้านต้องการเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์) ทำให้ทั้ง 5 ได้เดินทางไปยังโลกในสมัยอดีตเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน เพื่อสร้างประเทศของพวกเขา การมาครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้พบกับ คุคุรุ เด็กน้อยจากเผ่าแสงสว่าง (แต่ถูกห้วงมิติดูดมาอยู่ในโลกปัจจุบัน) เพื่อช่วยคุคุรุกำจัดเผ่าความมืดซึ่งได้ออกมาทำลายเผ่าต่าง ๆ หวังครองโลก ทำให้เด็กทั้ง 5 ต้องออกเดินทางอีกครั้ง โดยพยายามไม่ให้แผนของเจ้า กิกะ ราชาของเผ่าความมืด ดำเนินการได้สำเร็จ....

สิ่งที่ทำให้น่าจด จำ:เป็นการเล่าเรื่องราวในโลกอดีต ซึ่งได้ถ่ายทอดให้เห็นการดำเนินชีวิตแบบคนโบราณ อีกทั้งความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และที่แน่ ๆ ครับ สัตว์เลี้ยงทั้ง 3 ของโนบิตะ คือสามสัตว์สุดยอดของตำนาน!!!


บุกอาณาจักร เมฆ

เนื้อเรื่อง:โนบิตะต้องการไปอยู่บนโลกสวรรค์ จึงเดือดร้อนต่อโดราเอมอนอีกครั้ง จากความต้องการของโนบิตะ โดราเอมอนได้สร้างอาณาจักรบนท้องฟ้าขึ้นมา โดยใช้ก้อนเมฆช่วยสร้าง และได้ชวนเพื่อนทั้ง 3 มาเล่นด้วย แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพวกโนบิตะได้เข้าไปผิดก้อนเมฆ ทำให้ได้พบกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนฟ้า ทำให้เด็กทั้ง 5 ล่วงรู้ถึงแผนการของคนบนฟ้า ว่าจะทำให้น้ำท่วมโลก (แผนการโนอาห์) เด็กทั้ง 5 ต้องออกมาปกป้องบ้านเกิดของตัวเองให้รอดปลอดภัย...

สิ่งที่ทำให้น่า จดจำ:การผจญภัยครั้งนี้เป็นการสอนให้รู้จักรักษาธรรมชาติของโลกเราเอาไว้ ถ้าไปทำลายมันมากเท่าไหร่ไม่แน่ว่าอนาคตของโลกเราอาจเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม โลกขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นได้!

สามอัศวินในจินตนาการ

เนื้อ เรื่อง:โนบิตะต้องการให้โดราเอมอนสร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมา จึงได้ใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่า 'เครื่องมือช่วยฝัน' ซึ่งสามารถผจญภัยไปยังโลกต่าง ๆ ได้ โดยใช้เทปแห่งความฝันเป็นตัวเลือกความฝัน... โนบิตะเลือกสามอัศวินในจินตนาการเป็นความฝันของเขา เมื่อเข้าไปสู่โลกของนิทาน โนบิตะต้องออกผจญภัยอีกครั้งเพื่อให้ตัวเองได้เป็นสุดยอดอัศวิน (และพิชิตใจองค์หญิง)....

สิ่งที่ทำให้น่าจดจำ:หลังจากอาจารย์ได้ เน้นหนักประเด็นเรื่องไปที่หลักวิทยาศาสตร์หลายครั้ง และแล้วอาจารย์ก็กลับมาสู่จินตนการในแบบเด็ก ๆ อีกครั้ง... การผจญภัยแบบอัศวิน เด็กคนไหนก็ต้องอยากเป็นทั้งนั้นแหละครับ การต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่น่ากลัว ทั้งยังต่อสู้กับพ่อมดแบบไม่คิดชีวิต โดยที่ตัวเราไม่บาดเจ็บเพราะมันคือโลกแห่งความฝัน!

ตะลุยเมืองตุ๊กตาไขลาน

เนื้อ เรื่อง:โดราเอมอนได้รับคูปองแลกดาวเคราะห์น้อยมา แล้วโนบิตะก็แลกมาได้หนึ่งดวง ซึ่งพวกเด็ก ๆ ตกลงที่จะสร้างอาณาจักรตุ๊กตาไขลานโดยต่างฝ่ายต่างสร้างในสิ่งที่ตนเองชอบ อยู่มาวันหนึ่งมีโจรร้ายได้แอบเข้ามาในอาณาจักรหวังที่จะขโมยทอง จึงเกิดเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของพวกเด็กบนโลกที่มีแต่ตุ๊กตาเดินได้....

สิ่ง ที่ทำให้น่าจดจำ:เป็นตอนที่เปี่ยมจินตนาการเกี่ยวกับเมืองที่มีตุ๊กตาเดินไป มา ในแบบที่เด็ก ๆ ชอบ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่ชอบเล่นตุ๊กตาเป็นชีวิตจิตใจและนี่เป็นตอนสุดท้ายที่ อาจารย์ฟุจิโกะทำก่อนที่ท่านจะจากไป!



ตำนานสุริยกษัตริย์

เนื้อ เรื่อง:หลังจากที่เด็กทั้ง 5 เล่นกันอยู่ แต่แล้วเครื่องเล่นกลับโดนไจแอนท์แย่งเอาไปใช้ จึงเกิดเรื่องชุลมุนขึ้นระหว่างเอาของคืน ส่งผลให้ช่องกาลเวลาชำรุดไปโผล่ที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นโลกที่มีอารยะธรรมโบราณ และทำให้ได้พบกับ เจ้าชายทีโอ (ที่มีหน้าตาเหมือนโนบิตะแทบจะถอดแบบกันเลย) เจ้าชายแห่งประเทศมายา เนื่องจากหน้าตาที่เหมือนกันมาก ทำให้ทั้งสองต้องการลองใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนกันดู โนบิตะไปเป็นเจ้าชาย ส่วนทีโอเป็นโนบิตะ ไม่นานหลังจากนั้น กุกุ เพื่อนของเจ้าชายทีโอ ก็ถูก แม่มดเลดีน่า จับตัวไป เด็กทั้ง 5 กับเจ้าชายทีโอจึงต้องออกเดินทางไปช่วยเหลือกุกุ....

สิ่งที่ทำให้ น่าจดจำ:นี่คือการ์ตูนตอนแรกที่ออกฉายช่วงเริ่มต้นทศวรรษ 2000 จึงได้มีการพัฒนาลายเส้นของการ์ตูนออกมาให้มีสีสันมากกว่าตอนเดิม ๆ ที่เคยเข้าฉาย และการผจญภัยครั้งนี้ ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นโดราเอมอนเอาไว้ครบถ้วนสมบูรณ์

อัศวินแดนวิหค

เนื้อ เรื่อง:หลังจากโนบิตะได้ฟัง เดคิสุงิ เล่าว่าเรื่องราวของมนุษย์นกโนบิตะสนใจที่จะบินให้ได้ จึงคิดสร้างเครื่องบินขึ้นมา แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้พบกับ กูซึเกะ นกที่มีรูปร่างเหมือนคน... ไจแอนท์กับซูเนโอะได้แอบเกาะเครื่องร่อนของกูซึเกะไปด้วย ทำให้โดราเอมอน, โนบิตะ และซิซุกะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรเบิร์ดเปีย เมืองของกูซึเกะ และแล้วการผจญภัยของเด็กทั้ง 5 ก็เริ่มต้นขึ้น...

สิ่งที่ทำให้น่าจด จำ:ด้วยการผจญภัยที่คงเอกลักษณ์ความเป็นโดราเอมอน เหมาะกับทุก*** ทุกวัย โดยการผจญภัยครั้งนี้เน้นจินตนาการถึงมนุษย์ที่สามารถบินได้ (เชื่อว่าใคร ๆ ก็อยากไปมาบนท้องฟ้า) ทำให้ตอนนี้เป็นหนึ่งในตอนที่ดูสนุกมาก นับจากการจากไปของอาจารย์ฟุจิโกะ

ความ ลับที่ควรรู้เกี่ยวกับโดราเอมอน

1. เชื่อหรือไม่ว่า โดราเอมอนมีเลขที่เกี่ยวข้องคือ 129.3 ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก ส่วนสูง และปีเกิด (3-9-2112) ที่ต้องมีตัวเลขเท่านี้ เพราะอาจารย์ฟุจิโกะได้นำส่วนสูง โดยเฉลี่ยของเด็กญี่ปุ่นที่อยู่ในชั้น ป.4 มาคำนวณ เพื่อให้ได้ส่วนสูงเท่า ๆ กับโนบิตะที่อยู่ชั้น ป.4 นั่นเอง
2. คุณรู้ไหมว่า ตอนแรกนั้นโนบิตะของเราต้องแต่งงานกับใคร คำตอบครับ.... น้องสาวของไจแอนท์ ที่ชื่อว่า ไจโกะ นั่นเอง ต้องขอบคุณเชวาชิ เหลนของเหลน โนบิตะ ที่ทำให้ได้แต่งงานกับซิซุกะ
3. ความหมายของชื่อโนบิตะ ที่พ่อและแม่ของโนบิตะตั้งให้ แปลว่า.... ความหวังที่จะให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง และก้าวหน้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
4. โดเรมี่ เกิดหลังโดราเอมอน 2 ปี และได้ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1973
5. การ์ตูนโดราเอมอน ตีพิมพ์รวมเล่มฉบับแรกเมื่อปี 1974
6. รู้รึเปล่าว่า... ทีมนักพากย์การ์ตูนโดราเอมอนที่ญี่ปุ่น เป็นชุดเดียวกันตลอดตั้งแต่เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี 1979 และรู้รึเปล่าว่า... คนพากย์โนบิตะเป็นผู้หญิงครับ
7. ถ้าคุณลองกลับไปอ่านการ์ตูนเรื่อง ปาร์แมน จะเห็นว่าตัวเอกหญิงของการ์ตูนปาร์แมน ชื่อว่า โฮชิโนะ สุมิเระ เธอคือดาราดังในเรื่องโดราเอมอนด้วย
8. ได้มีการโหวตคะแนนตัวการ์ตูนยอดนิยมตลอดกาล 100 ตัว ของญี่ปุ่น ซึ่งจัดในปี 2002 โดยสถานีโทรทัศน์ทีวีอาซาฮึ และตัวละครของอาจารย์ฟุจิโกะได้ไปถึง 8 ตัว แน่ล่ะว่าโดราเอมอนได้อันดับที่ 1 โดยอันดับที่ 2 คือ ซุนหงอคง จาก ดรากอนบอลล์ นั่นเอง
9. โดราเอมอนถือเป็นการ์ตูนที่ไม่มีตอนจบ (ซึ่งมีอยู่น้อยมากที่จะเกิดขึ้น) แม้ว่าทางอาจารย์ได้มีการเขียนตอน "ลาก่อนโดราเอมอน" ออกมาก็จริง แต่ทว่ากระแสของแฟน ๆ การ์ตูนที่ไม่ต้องการให้จบ ทำให้อาจารย์ต้องนำกลับมาเขียนต่อ จนอาจารย์ได้จากโลกนี้ไปเสียก่อน....

เพลงอย่าลืมว่าเป็นเพื่อนกัน



อย่าเพิ่งเจอกันเลย ถ้าทางมันไกล ก็ไม่ต้องมาก็ได้ ไม่ต้องเดินจูงมือ ถ้ากลัวคนมอง ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรวันนี้ที่มีฉันอยู่
ไม่รู้ว่าฐานะใด

ไม่เข้าใจในคำว่าเพื่อน ทำไมต้องเหมือนมีเส้นมากั้น ให้เธอไปเท่าไร แต่กลายเป็นเธอ ไม่เคยจะมีให้ฉัน
ทุกครั้งที่คิดจะแคร์ ….(อ่าอาอาอ้า)
รู้ว่าแค่ตอนนั้น

เมื่อไม่มีสิทธิหวง จะไม่หวง จะไม่ห่วงเธอซักวัน ถ้าคิดถึง แล้วไม่ถึง จะไม่คิดเลยละกัน

ถ้าเป็นได้แค่เพื่อนเธอ ทำไมไม่บอกฉันตอนนั้น
(ถ้าจะพูด ถ้าจะพูด ซักคำ)
เก็บอาการเอาไว้ ที่ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี เจ็บรู้ใหม ให้ความหวัง แล้วก็ไม่มาใยดี
อยากจะไม่รู้จักเธอ จะได้ไม่เจ็บเหมือนอย่างนี้
(ถ้าจะพูด ถ้าจะพูด ซักคำ)
อยากลืมว่าเป็นเพื่อนเธอ

ไม่เข้าใจทุกที ที่โดนเธอทำ มันเสียน้ำตาง่ายๆ
สิ่งที่ควรจะลืม ทำไมยังจำ ต้องรอให้ช้ำแค่ไหน
ไม่รู้ว่าเธอทำผิด ….(อ่าอาอาอ้า)
หรือว่าฉันอ่อนไหว

กลอนรัก

ฉันรักใครไม่ง่ายนัก แต่ก็รักเธอได้ไม่ยาก
พูด ออกไปใจตรงกับปาก รักเธอมากกว่าใครๆ

รัก กันง่ายๆ สบายดีออก ไม่จำเป็นต้องบอกว่ารักก็ได้
ขอแค่รู้สึกลึกๆ ข้างใน ขอแค่จริงใจมีให้ก็พอ

ยิ่ง รู้จักยิ่งรักมาก และยิ่งอยากอยู่ชิดใกล้
ยิ่งพูดคุยยิ่งถูกใจ ใช่แล้วเธอคนในฝัน

แค่เห็นเธอก็ใจสั่น แค่จ้องกันใจก็หวิว
แค่สบตาก็ เหมือนเป็นตะคริว แค่นี้ก็รู้แล้วว่าชอบเธอ

เธอ คือคนสำคัญคนหนึ่ง เธอคือหนึ่งในดวงใจ
เธอมีความห่วงใยให้กันและกัน เธอคือใครคนนั้นที่ฉันรักมากมาย


กลอนรัก


อยาก พบอยากเจออยากทัก อยากรักอยากห่วงอยากหา
คิดถึงจึงได้โทรมา อยากบอกว่ารักเธอสุดหัวใจ

เมื่อ แรกพบคิดกับเธออยากรู้จัก คบสักนิดก็สนิทกลายเป็นเพื่อน
ดูๆไปหัวใจมัน ย้ำเตือน อยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนคือรักเธอ

รู้ไหมว่ามันยาก ในใจมันลำบากแค่ไหน
กับการที่ต้องบอกเธอออกไป ให้รู้ความในใจว่า I love you

บอก ตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน เธอมีอะไรสำคัญกว่าใครคนไหน
ทุกเวลานาทีที่ ผ่านไป ใจจึงไม่เคยลืมเธอได้เลย

อยาก โปรยรักขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอจะได้รู้ว่ามันมากแค่ไหน
ให้เธอได้เก็บ มันไว้ แม้จะอยู่ไกลก็จะเหมือนใกล้กัน

ความ รักที่ฉันมี ความรู้สึกดีๆที่ฉันให้
ไม่อาจคำนวณได้เป็นค่าใด เพราะมันมากมายเหลือเกิน

หาก วันใดที่เธอไม่มีใคร ให้เธอรู้ไว้ยังมีฉัน
หากวันใดเธอพ่ายแพ้หมดเพลิง ให้รู้ว่าฉันยังอยู่ใกล้ๆเธอ

ร.เรือ แล่นไปบนสายน้ำ ไม้หันอากาศบินร่อนบนเวหา
ก.ไก่ค่อยๆเดินตามหลังมา แล้วอ่านว่า รัก ซึ่งคำนี้ฉันให้เธอ

อยาก เป็นอุลตร้าแมนมีแก้มแดงใสๆ
แล้วเธอล่ะอยากเป็นอะไร เป็นสัตว์ ประหลาดดีไหม
จะได้เจอกันทุกตอน ^^

อยากรักเธอเท่าฟ้า แต่ก็ไม่รู้ว่าฟ้ากว้างแค่ไหน
เอา เป็นว่ารักเธอหมดหัวใจ และไม่เคยรักใครเท่าเธอ

อาจ จะมีบ้างบางเวลา ที่เกิดหายหน้าหายตาห่างกันไป
แต่ก็ยังรับรู้อยู่ใช่ ไหม ว่าในใจยังเหมือนเดิม

บนท้องฟ้ามีดวงดาว ในเมืองลาวมีข้าวเหนียว
ในกะทะมี ไข่เจียว ใจดวงเดียวฉันมีให้เธอ




นิทานคืออะไร


จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ. 2542 ได้กล่าวไว้ว่า
"นิทาน น. เรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก นิทานอีสป; เหตุ เช่น โรคนิทาน;
เรื่องเดิม เช่นวัตถุนิทาน. (ป.)."
อ่านแล้วรู้สึกเหมือนกันมั๊ย... แอบงงอ่ะ
ตกลงแล้วที่เราเข้าใจเนี่ย นิทานคือเรื่องเล่าเฉยๆใช่มะ แค่นั้นจริงๆหรือจะคิดใหม่ๆสดๆก็เป็นนิทานได้...อย่างนั้นหรือ?
แบบนี้ มันจะต่างกับการ์ตูนยังไงหล่ะนั่น เพราะการ์ตูนก็เป็นเรื่องเล่าแบบนึงเช่นกัน เพียงแต่เล่าผ่านกระดาษเท่านั้นเอง
งั่มๆแค่นั้นจริงๆหรือ หรือว่ามันควรเป็นเรืองเล่าที่มีข้อคิดแฝงไว้ด้วย จึงควรจัดเป็นนิทาน
เพราะสมัยก่อนนั้น นิทานจะเป็นเรื่องเล่าที่แฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆเพื่อสอนให้เด็กที่ฟังนั้นโต มาเป้นคนดีต่อไป
แต่จากสภสพสังคมปัจจุบันนั้น เป็นไปได้มั๊ยว่า ผู้ใหญ่ไม่ได้เล่านิทานให้เด็กๆฟังอีกแล้ว
เด็กยุกใหม่ๆเลยอาจแย่ลง (ในสายตาผู้ใหญ่ 555)

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นิทานเรื่องหมูน้อยสามตัว



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่หมู กับลูกหมูพี่น้อง 3 ตัว อาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง... ลูกหมูตัวโตสุดซึ่งเป็นพี่ใหญ่นั้น เป็นหมูที่ออกที่จะเกียจคร้านเป็นอย่างมาก แล้วก็มักที่จะชอบไปแอบหาที่หลบหลับนอนอยู่ตลอดเวลา ลูกหมูตัวที่สองซึ่งเป็นน้องหมูตัวกลางก็เป็น หมูที่ตะกละเป็นที่สุด จะไม่ชอบทำงาน แม้เวลาทำงานก็จะหาเรื่องพักแล้วกินอาหาร ที่แอบพกเอาติดตัวมาด้วยอยู่เสมอ ๆ แต่ว่าลูกหมูตัวที่สามนั้น เป็นหมูที่ขยันขันแข็ง และชอบทำงาน เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่า น้องหมูตัวสุดท้องจะเป็นหมูที่ขยันขันแข็งทำงานเป็นอย่างมากอย่างไรก็ตาม ที... แต่อาหารที่หามาได้นั้นก็ต้องหมดลงไปอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ด้วยเป็นเพราะว่า ที่บ้านของเขานั้นมีหมูที่ขี้เกียจกับหมูที่ชอบกินอยู่ตั้งสองตัวนั่นเอง วันหนึ่ง แม่หมูได้พูดขึ้นว่า " ตอนนี้พวกเธอก็โตกันขึ้นมามากแล้ว ถึงเวลา ที่จะต้องแยกย้ายกันออกไปสร้างบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่ข้างนอก..." น้องหมูตัวสุดท้องเมื่อได้ฟังแม่หมูพูดว่าอย่างนั้น ก็ให้พี่หมูตัวโตตัวขี้เกียจ เมื่อได้ยินแม่หมูพูดมาว่าเช่นนั้นก็พูดบ่นขึ้นทันที ด้วยเพราะไม่ค่อยชอบที่จะทำงานอยู่แล้วนั่นเอง...ก็เลยโดนแม่หมูดุเอาให้ว่า
" อย่ามามัวบ่นอยู่อย่างนั้นสิ...รีบ ๆ ออกไปจัดการสร้างบ้านเป็นของตัวเองเดียวนี้เลย.." พี่หมูตัวโตจึงจำใจที่จะต้องออกไปสร้างบ้านแต่ก็ด้วยอย่างไม่ค่อยที่จะเต็ม ใจสักเท่าใดนัก... " อู๊ด อู๊ด..มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อรำคาญเป็นอย่างมาก...แต่ว่าถ้าเป็นบ้านที่ทำ ด้วยฟางล่ะ.. ใช่สิ เราก็สามารถที่สร้างมันขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ และรวดเร็วอีกเสียด้วย.."
เป็นเกิดมีความปิติยินดีขึ้นมาอย่างมาก " เราจะสร้างบ้านของเราแบบไหน แล้วเอาอะไรมาสร้างเป็นบ้านดีนะ??" แล้วบ้านที่ทำขึ้นมาจากฟางก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเสร็จลงในไม่ช้า พี่หมูตัวโตได้มาคุยโวอวดพวกน้อง ๆ หมูว่า " เห็นไหม ฉันสร้างบ้านได้ เสร็จรวดเร็วก่อนใคร ๆ พวกแกจงดูเอาฉันเป็นตัวอย่าง แล้วสร้างบ้านของพวกแก ให้เสร็จขึ้นเร็ว ๆ.. " พี่หมูตัวที่สองได้พูดชมพี่หมูใหญ่ว่า
"พี่ เก่งจังสร้างบ้านได้เสร็จรวดเร็ว และวิเศษมากเนี้ยบจริง ๆ " แต่ว่าน้องหมูตัวที่สามกลับท้วงติงขึ้นว่า
" แต่ว่านะ ! บ้านที่ทำขึ้นมาจากฟางนี่น่ะ มันก็คงจะต้านทานลมที่พัดมาแรง ๆไม่ได้เสียน่ะสิ...."
เมื่อพี่หมูตัวที่สองได้ฟังเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า" มันเป็นความคิดที่ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นเห็นทีว่าเราจะสร้างบ้านของเราด้วยไม้ดีกว่า เพราะมันสามารถที่จะต้านลมที่พัดมาแรง ๆได้ อย่างแน่นอน.." เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วพี่หมูตัวที่สองก็รีบเข้าไปที่ในป่า แล้วได้เก็บรวบรวมเอาเศษ ไม้มาในทันทีทันใด " ป๊อก ป๊อก !" แล้วก็ตอกตะปูลงไปอย่างนี้อีกหน่อย แค่นี้เอง..เราก็ได้บ้านที่ ทำขึ้นมาจากไม้แข็งแรง เห็นไหมสร้างได้เสร็จเป็นบ้านแล้ว..."จึงเป็น อันว่าพี่หมูตัวที่สองก็ได้ สร้างบ้านของตัวเองที่ทำขึ้นมาจากไม้ได้สำเร็จเสร็จลงเช่นกัน
"ดูสิ ! บ้านที่ทำขึ้นมาจากไม้ของข้าสร้างเสร็จแล้วนะ เป็นบ้านที่วิเศษสามารถต้านลมได้อย่างดี อีกเสียด้วย" พี่หมูตัวที่สองพูดแบบคุยโวอวดน้องหมูตัวที่สามอีกเช่นกัน แต่น้องหมูตัวที่สามกลับพูดว่า " ถึงแม้ว่า บ้านที่ทำขึ้นมาจากไม้นั้นจะต้านลมได้ดีก็จริง แต่มันก็คงจะต้องพังลงมาถ้า มีใครมาบุกโจมตี "พี่หมูตัวที่สองเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ให้เป็นนึกโกรธ น้องหมูขึ้นมาในทันที " แกพูดว่าอะไรของแก ? ถ้ามัวขืนแต่จะมาเดินขนอิฐอะไรของแกอยู่นั่นอย่างช้า ๆ แกก็จะไม่มี ทางสร้างบ้านของแกได้เสร็จลงทันเวลาเพราะว่า!..อีกไม่นานมันก็จะ ค่ำมืดลงแล้ว เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวพวกหมาป่ามันก็จะได้เวลาที่จะออกมาหากินของมันเสียด้วย สิ..."น้องหมูตัวที่สามได้พูดว่า " เราเพียงแต่ต้องการที่จะสร้างบ้านของเราด้วยอิฐ ที่แข็งแรงไว้เป็นที่พักอาศัย เพราะมันจะได้ไม่พังลงมาได้อย่างง่าย ๆ แล้วยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะมีลมแรง ๆ พัดมาก็จะไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น" น้องหมูตัวที่สามได้แบกเอาอิฐมากองรวมกันเอาไว้ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ผสมปูนซีเมนต์ แล้วเอามาทาลงไปอีกครั้ง เพื่อทำฐานของบ้านให้แข็งแรง โดยซ้อนอิฐ เรียงกันทีละก้อนทีละก้อนแล้วฉาบด้วยปูนอีกครั้งอย่างเหนียวแน่น... " ปัต! ปัต!จะต้องสร้างบ้านที่แข็งแรงที่สุดมากกว่าใคร"
แล้วที่นั่น..พี่หมูทั้งสองตัวก็ได้โผล่หน้าออกมา " นี่มันก็จะค่ำมืดลงแล้วนะ แกมามัวทำอะไรของแกอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเถอะ...เดี๋ยวพวกหมาป่ามันก็จะได้เวลาที่จะ ออกมาหากินของมันแล้ว ...ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดแกจะโดนหมาป่ากิน เข้าไปแล้วละก็...ข้าทั้งสองไม่ช่วยนะ..จะบอกให้... " พี่หมูทั้งสองพูดจบแล้ว ก็รีบแยกย้ายจากไปอย่างรวดเร็ว น้องหมูตัวที่สามได้พูดว่า " ก่ออิฐทีละก้อน ๆ..เรียงขึ้นไป ๆ..เรื่อย ๆ เดียวก็จะได้บ้านที่แข็งแรงป้องกันอันตรายให้ได้ แม้ว่า..หมาป่าจะมาก็ไม่เป็นไร ไม่กลัวหรอก? ... "
และแล้วเมื่อความมืดเข้ามาเยือน เมื่อบนท้องฟ้าพระจันทร์ขึ้นจนเต็มดวงแล้ว และในเวลานั้น บ้านที่สร้างขึ้นมาจากอิฐของน้องหมูตัวที่สามก็ สร้างได้สำเร็จลงอย่างเรียบร้อย " โบวววว์..." ใช่แล้ว...มันเป็นเสียงหอน ของหมาป่าที่ได้เวลาออกมาหากินตามปกติของมัน " โอ้..ทันเวลา พอดิบพอดีเลย..ดีมาก" และเสียงหอนของหมาป่านั้น ก็ทำให้พี่หมูทั้งสองตัว ต้องนั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาอยู่ด้วยความสะพึงกลัวเป็นอย่างมาก... " เอก อี้ เอก ๆ " รุ่งเช้า..หมูพี่ ๆ ทั้งสองตัวได้มาหาน้องหมูตัวสุดท้อง และได้ชวนกันกลับมาที่บ้านของตน แม่หมูได้พูดว่า " พวกเจ้าทั้งสามเก่งและ ทำได้ดีมาก...ดังนั้นต่อแต่นี้ไปพวกเจ้าก็จงออกไปอาศัยหากินกันเองได้แล้ว " เมื่อได้ยินแม่หมูพูดพี่หมูทั้งสองตัวก็พูดบ่นขึ้นมาอีกว่า " ไม่เอาหละ... น่าเบื่อจะตาย แล้วข้าก็เหนื่อยแล้วด้วย"แม่หมูให้เป็นเบื่อหนาระอาใจ กับพี่หมูทั้งสองตัวเป็นอย่างที่สุด !
ในขณะที่ลูกหมูทั้งสามกำลังเดินทางกลับไปที่บ้านของพวกตน อยู่นั้น พลันก็ได้ มีหมาป่าตัวหนึ่งที่เดินดมกลิ่นหาเหยื่ออยู่ในป่าแถว ๆ นั้นเดินผ่านมา และได้แอบเห็น เจ้าหมาป่ารีบสะกดรอยติดตามหลังไปติดๆ
" ดีจัง มีลูกหมูน่าอร่อยตั้งหลายตัวแน่ะ...เราจะกินตัวไหนก่อนดีนะ.." เมื่อลูกหมูทั้งสามตัวเดินทางแยกย้ายกันกลับไปที่บ้านตามลำดับแล้ว ซึ่งแน่นอนที่เจ้าหมาป่าก็ได้สะกดรอยติดตามไปติด ๆเหมือนกัน มันพูดว่า " ข้าจะต้องกิน อ้ายหมูตัวที่ขี้เกียจที่สุด ที่สร้างบ้านด้วยฟางนั่นแหละก่อนอื่นใดเลยล่ะ "
หมาป่าเมื่อมาถึงที่หน้าบ้านก็เคาะประตู..ป๊อก..ป๊อก.." เปิดประตูเดี๋ยวนี้ !.." พี่หมูตัวที่หนึ่งตกใจเป็นอย่างมาก และได้รีบลงกลอนประตูทันทีเหมือนกัน" อ้ายบ้าเอ้ย.. บ้านที่ทำ มาจากฟางของแกนี่น่ะ แค่โดนข้าเป่าเข้าให้ทีเดียวก็พังหมดแล้ว ฟู่ ๆๆ " ว่าแล้วมันก็พ่นลม ปากของมันเป่าใส่" ฟู่ " บ้านที่ทำขึ้นมาจากฟางทั้งหลังก็มีอันได้พังลงไปทั้งหลัง " จ๊าก..ช่วยด้วย ....ช่วยด้วย..จ้า "
พี่หมูตาเหลือกวิ่งหนีไปที่บ้านของน้องหมูตัวที่สองทันทีทัน ใด " จะหนีมาแอบซ่อนอยู่ในบ้านที่เป็นแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก..ว๊อย" ลูกหมูทั้งสองตัวนั่งกอดกันตัวสั่นเทาไปหมดกับเสียงอันน่าหวาดกลัว ของหมาป่า ว่าแล้วมันก็กระโดดเข้าชนประตูบ้านอย่างรุนแรง บ้านที่ทำขึ้นจากไม้ลั่นเสียงดัง" เอียด ๆๆ" แล้วเริ่มโอนเอนไปมา
และเมื่อหมาป่ากระโดดชนซ้ำเข้าไปอีกในครั้งที่สอง บ้านที่สร้างขึ้นมาจากไม้ ส่งเสียง " ปาริ..ปาริ "และมีอันต้องแหลกสลายลงไปเป็นเสี่ยงๆ ในทั้นทีทันใด หมาป่าได้กระโจนเข้าไปจนเกือบจะชิดตรงที่ลูกหมูทั้งสองตัวกำลังโอบกอดกัน อยู่ด้วยอาการสั่นเทา " จ๊าก..แย่แล้ว....ช่วยพวกเราด้วย..จ้า " หมูทั้งสองตัวรีบวิ่งหนี ไปอย่างสิ้นหวัง โดยมีเจ้าหมาป่าก็ได้วิ่งตามมาติด ๆ " จะหนีไปไหน! กลับมาให้ข้ากินเสียดี ๆ "
พี่หมูทั้งสองตัววิ่งหนีมาจนถึงที่บ้านของน้องหมูตัวที่สาม ด้วยความยากลำบาก "เร็ว ๆ หมาป่ามันกำลังตามมา..รีบปิดประตูใส่กุญแจไม่เช่นนั้นเดี๋ยวต้องโดนมันกิน แน่ ๆเลย" พี่หมูทั้งสองตัวรีบลงกลอนประตู แม้กระนั้นน้องหมูตัวที่สามกลับยิ้มแล้วพูดว่า "มันไม่เป็นปัญหาหรอก เพราะบ้านที่ทำขึ้นมาจากอิฐนั้นแข็งแรง แม้หมาป่าจะมาโจมตี อย่างไร ก็ไม่มีทางพังลงมาอย่างง่าย ๆ แน่นอน""อ้ายหมูหน้าโง่ทั้งหลายเอ้ย!..แม้จะหนีมาแอบอยู่ในบ้าน ที่เป็นแบบนี้ก็ตามเถอะ ข้าจะพังให้ดูเดี๋ยวนี้เลย "ว่าแล้ว หมาป่าก็โผเข้าไปที่ประตูบ้านอย่างรวดเร็ว "ปั้ง ปึง ปึง!"แต่มันแทบจะถอดกระดูกของมันออกเป็นชิ้น ๆ เลยทีเดียว ด้วยความแข็ง ของอิฐ" อ๊อก! อั๊กๆๆ" หมาป่าต้องได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นมันจำใจต้องถอยออกไป อย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจสักเท่าใดนัก
"เย เย้..ดีมาก!" หมูทั้งสามตัวตกลงใจกันว่าจะอาศัย อยู่ด้วยกันที่บ้านของ น้องหมูตัวที่สามชั่วขณะหนึ่ง ส่วนเจ้าหมาป่านั้นก็..ตั้งแต่วันนั้นมันได้เงียบหายไป สงสัยว่าคงจะเจ็บมากนั่นแหละเลยไม่คิดที่จะมาก่อกวนอีก...แต่แล้วในวันหนึ่ง พวกลูกหมูทั้งสามได้ออกเดินทางไปที่ภูเขาเพื่อจะไปเก็บผลแอปเปิ้ล และที่นั่น ก็เหมือนเดิมที่หมาป่าได้ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง...พวกหมูทั้งสามเมื่อเห็น ดังนั้นจึง ได้รีบปีนหนีขึ้นไปบนต้นแอปเปิ้ลอย่างรวดเร็ว
ด้วยหมาป่านั้นมันไม่มีความสามารถที่จะปีนขึ้นต้นไม้ได้นั่น เอง" ชิต! ก็ได้..ข้าจะรอ จนกว่าพวกแกจะลงมาเองนั่นแหละ!" เมื่อหนึ่งชั่วโมงผ่านไป และสองชั่วโมงก็ผ่านไป..หมาป่าก็ยังไม่ยอมจากไปจากที่นั่น น้องหมูตัวที่สามใช้ความคิด..และได้พูดว่า " นี่ นี่ หมาป่า, แกคงหิวแล้วสินะ อยากกินแอปเปิ้ล หรือเปล่าล่ะ???"พูดแล้วเขาก็ขว้างผลแอปเปิ้ลลงไปที่ข้างล่าง
หมาป่าด้วยก็กำลังหิวอยู่พอดีนั่นเอง มันจึงรีบวิ่งตามผลแอปเปิ้ลที่โดนขว้าง ลงมาและก็ได้กลิ้งไปที่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว " เร็ว ๆ เป็นโอกาศดีแล้วที่จะคิดหนี!" พวกหมูจึงหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย...และในวันรุ่งขึ้น ลูกหมูตัวที่สามได้ออกไป ที่ในเมืองเพื่อหาซื้อถังใส่น้ำ และในระหว่างทางขากลับขณะที่กำลังแบกถังอยู่นั้น เจ้าหมาป่าจอมตะกละก็ได้มาดักรออยู่ที่เส้นทางสายนั้นอีกครั้ง..และสิ่งนี้ น้องหมูก็ได้แอบเห็น " โอ้..!อ้ายหมาป่ามันดักซ่อนตัวอยู่นี่ "
น้องหมูตัวที่สามตกใจที่ได้เห็นหมาป่าแอบซ่อนตัวอยู่จากเงา ยาวและดำมืดของมันที่ต้องแสง แดดในตอนเย็นนั่นเอง...น้องหมูรีบวางถังลงไว้ที่พื้นแล้วกระโดดลงไปที่ข้าง ใน หลังจากที่เล็งเป้า ให้ตรงจุดแล้ว ทีนี้เขาก็กลิ้งมันลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง " จ๊ากกก..!" หมาป่าร้องจ๊าก ออกมาด้วยความเจ็บเพราะโดนปะทะและโดนทับด้วยถังที่กลิ้งลงมาอย่างแรง มันได้หนีหายไปในทันที ดังนั้นน้องหมูตัวที่สามจึงเดินทางกลับมาที่บ้านได้อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน..เจ้าหมาป่าก็ได้เดินแบกเอาบันไดยาว มาที่บ้าน ของพวกลูกหมู
" น่าที่จะคิดได้อย่างนี้มาตั้งนานนมแล้ว จะเข้าไปข้างในบ้าน ได้อย่างง่าย ๆ นั้นก็คือทางปล่องไฟบนหลังคานั่นเองแหละ! "
หมาป่าพาดบันไดยาว ไปตรงที่หลังคา แล้วจากนั้นมันก็ได้ปีนขึ้นไปที่ข้างบน และเมื่อพวกลูกหมูทั้งสาม ได้แลเห็น..น้องหมูตัวที่สามได้รีบพูดว่า " จุดไฟขึ้นที่เตาผิง!เร็ว" หมาป่าต้องโดนลวกด้วยน้ำร้อน และได้รับบาดเจ็บสาหัสจนขนตามร่างกาย ของมันได้ร่วงออกจนเกือบจะหมด..และหลังจากนั้นหมาป่าก็ได้สำนึกและ หันมากลับตัวกลับใจเสียใหม่คือเป็นหมาป่าที่อ่อนโยน และอาศัยอยู่ในที่ของมัน อย่างสงบสุข
ส่วนหมูผู้เป็นพี่ ๆทั้งสองตัวก็ตั้งใจจำเอาน้องหมูตัวสุดท้อง เป็นตัวอย่าง คือหันมาขยันหมั่นเพียรและไม่เกียจคร้าน ข้างฝ่ายแม่หมูก็ให้มีความสุข และพอใจเป็นอย่างมาก..ทุกตัวได้อาศัยอยู่อย่างมีความเกี่ยวข้องที่ดีต่อกัน และกันตลอดมา..

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า


มีอยู่ในวันหนึ่ง ได้มีเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยม ๆ มาตามวิสัยของมัน และที่ตรงอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ทางนั้นเข้าอย่างบังเอิญด้วยความรวดเร็ว "ฮิฮิ! นี่เจ้าเต่า นายชอบ ที่จะเดินต่วมเตี้ยม ๆ อยู่อย่างนี้เสมอ ๆ ทำไมนายถึงได้เดินได้ช้าอย่างนั้นเล่า? " เต่าจึงได้พูดว่า " ถึงแม้ว่าข้าจะเดินได้ช้า แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของความอดทนแล้วข้าไม่เคยแพ้ใคร "
" นายลองมาแข่งขันวิ่งไปที่บนยอดเขานั่นกับข้าดูเอาไหมล่ะ ? " กระต่ายเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก็หัวเราะลั่นอย่างดัง "ฮ่ะ ฮ้า น่าสนใจมาก เลยทีเดียว แต่รับรองได้ว่าไม่มีทางที่เจ้าจะ เอาชนะข้าไปได้หรอก มันเปรียบเทียบกันไม่ได้..ว่างั้น" กระต่ายเที่ยวไปเรียกพวกพ้องให้มาชุมนุมกันอย่างทันท่วงที และรวมทั้งให้เป็นกรรมการใน การแข่งขันอีกด้วย " ทุก ๆ คนมาดูเป็นสักขีพยานว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันวิ่งเร็ว ระหว่างเต่าโง่กับตัวข้า..ฮ่ะฮ่ะ "
" เตรียมพร้อม !,ไป " พอสิ้นเสียงบอกสัญญาณเริ่มการแข่งขันโดยสุนัขจิ้งจอก แล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็เริ่มออกวิ่งไปพร้อม ๆ กัน " ปิย้อง ปิย้อง " กระต่าย กระโดดออกวิ่งนำหน้าไปด้วยความเร็วสูง เผลอแผลบเดียวมันก็วิ่งมาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลาง ของทางระหว่างภูเขา มันจึงได้หยุดวิ่ง " เจ้าเต่ามันมาถึงไหนแล้วล่ะ ? " พูดแล้วมันก็ได้หันไปดู และก็ได้เห็นว่าเต่านั้นยังคงคลานตามมาอย่างช้า ๆ มองเห็นไกล ๆ พวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความ เงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเองพวกผู้ชมที่มาชุมนุมกันต่างก็หัวเราะและได้พูดว่า " ท่านเต่า..ท่านเต่า ท่านนี่ ช่างเป็นผู้ที่เดินได้ช้ามาก อาจที่จะพูดได้ว่าเดินได้ช้าที่สุดในโลกเลยก็ได้..ฮ่ะฮ่ะ " แม้ว่าจะได้ยินแบบนั้นแต่เต่าก็ไม่สนใจอะไรยังคงคลานของมันต่อไปด้วยความ เงียบสงบอย่าง ตั้งใจเพื่อที่จะให้ไปถึงที่บนยอดเขาโดยไม่คิดที่จะหยุดพักผ่อน ข้างฝ่ายกระต่ายเมื่อรอเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าเจ้าเต่าจะตามมาทันมันสักที...มันจึงเริ่ม นึกเบื่อกับการรอคอย " เจ้าเต่ามันยังคงคลานอยู่อีกตั้งไกล นอนรอซักงีบหนึ่งคงได้.. ถึงยังไงมันก็ไม่มีทางที่ตามมาทันได้หรอก" มันพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปตรง ที่กลางทางตรงภูเขานั่นเอง
ในขณะที่กระต่ายกำลังหลับอยู่อย่างสนิท เต่าซึ่งได้เดินมาอย่างไม่คิดที่ จะหยุดพักผ่อนนั้น " ถึงแม้ว่าขาของข้าจะสั้นเดินได้ช้าก็จริงแต่เรื่องของ ความอดทนแล้วข้าไม่เคยยอมแพ้ให้ใคร ข้าจะต้องทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้!" หลังจากที่ในขณะที่เต่าได้เดิน มาจนถึงที่ตรงจุดกึ่งกลางของภูเขา พลันมันก็ได้ ยินเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนกับเสียงกรนจากในที่แห่งหนึ่ง " เสียงกรนที่ไหนนี่... อะฮ้า เจ้ากระต่ายนี่ มันมาแอบนอนหลับอยู่ที่นี่เอง"
ที่ใกล้ ๆ ตรงนั้นกระต่ายกำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขสบาย ส่วนเต่านั้น ยังคงที่จะ เดินต่อไป...ทีละก้าว..ทีละก้าวอย่างจริงจังและอดทน และแล้วหลังจากนั้นชั่ว ขณะหนึ่งกระต่ายก็เริ่มรู้สึกตัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา " เฮ้..นี่เจ้าเต่า มันคลานมาจนถึงที่ไหนแล้วนี่?? " มันรีบกวาดสายตามองหา แต่ก็ช้าและสายไปเสียแล้ว เพราะเมื่อมันมองไปที่ตรงจุดเส้นชัยที่อยู่บนยอดเขาโน่น มันก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่ากำลังแสดง ความยินดีที่ได้รับชัยชนะอยู่อย่างมีความสุข..อยู่ในขณะนั้นเสียแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดอกไม้ทายนิสัย


ดอกกุหลาบ
เริ่มต้นกันที่ดอกกุหลาบก่อนเลย ในฐานะที่ ได้รับการยกย่องให้เป็นราชินีของดอกไม้ทั้งมวล แถมยังถูก นำมาใช้เป็นดอกไม้เพื่อแสดงความรักอีกด้วย เริ่ดซะไม่มี คนที่ชอบ ดอกกุหลาบนั้น ออกจะรักสวยรักงามมากสักหน่อย ชอบชีวิตที่หรูหราโอ่อ่า สะดวกสบาย หรือการเป็นคนเด่นดังมีชื่อเสียง ไปไหนมาไหนคนรู้จักไปหมด นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่กระตือรือร้น ใฝ่รู้ ชอบแสวงหาประสบการณ์ดีๆ ให้กับชี วิของตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเนื่อย
ดอกทานตะวัน

คนที่ชอบดอกทานตะวัน จะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก
และถือดีในความรู้ความสามารถของตัวไม่น้อย ชอบพึ่งพา ลำแข้งของตัวเองมากกว่าไปงอนง้อขอใครกิน ในขณะ เดียวกันก็เป็นคนที่ชอบตั้งเป้าหมายชีวิตเอาไว้สูงๆ แต่ความเป็นคนเก่ง สนใจใคร่ รู้ รวมทั้งขยันขันแข็ง ก็ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีใจคอกว้างขวาง มีเพื่อนฝูงมากมาย และชอบเข้าสังคม แต่จะเป็น คนที่ไม่แคร์ใครนัก


ดอกมะลิ

สำหรับคนที่ชอบดอกมะลิ ดอกไม้ไทยสีขาวที่มีกลิ่นหอมละมุนละไมนี้ อุปนิสัย มักเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน ค่อนข้างจะจู้จี้จุกจิกอยู่สักหน่อย แต่ทั้ง นี้ทั้งนั้นก็เพราะความเป็นคนเจ้าระเบียบที่ชอบความเรียบร้อยงดงามนั่นเอง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวมาก จะรู้สึกไวว่าใครคิดเช่นไรกับตน และเป็นคน คิดมาก ช่างวิตกกังวลไปกับคำพูดคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นผู้ที่ชอบชีวิตเรียบง่าย รักสงบ และเป็นตัวของตัวเองดีทีเดียว
ดอกเบญจมา
คนที่ชอบดอกเบญจมาศ เป็นคนที่ชอบความเรียบง่าย ธรรมดาๆ ชอบใช้ชีวิตในการทำงาน เข้ากับคนง่าย ผูกมิตรกับคนเก่ง ช่างเจรจา เพราะไม่มีบุคลิกถือตัว ไม่ใช่คนที่มีเสน่ห์โดดเด่นอะไรนักกับเพศตรงข้าม และไม่ ค่อยสนใจในเรื่องเหล่านี้ รักง่ายลืมง่ายว่างั้นเถอะ แต่จะไป ให้ความสำคัญในการศึกษาหาความรู้ แสวงหาประสบการณ์ให้ชีวิตมากกว่า เป็นคน ขยัน ชอบการทำงาน แต่ว่าต้องเป็นงานที่ไม่มีความซ้ำซากจำเจจนเกินไป

ดอกกล้วยไม้
คนที่ชอบดอกกล้วยไม้จะเป็นคนที่อ่อนโยน นิ่มนวล โรแมนติกมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่มีความอดทนหนัก แน่นอยู่ในตนเองด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชอบชีวิตเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่จะชอบการค่อยๆเปลี่ยนแปลงเพื่อไปสิ่งที่ดีกว่า โดยผ่าน การคิดหน้าคิดหลังรอบคอบมาแล้ว เป็นคนที่ตัดสินใจเก่งและชอบแก้ปัญหาด้วยการประนี ประนอม

ดอกบัว

สำหรับคนที่ชอบดอกบัว มักเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แถมยังเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ไม่รู้จักโกรธเกลียดใครหรอก ไม่ว่าใครจะมายังไงก็ดีกับเขาไปหมด มีอารมณ์และความรู้สึกอันละเอียดอ่อนที่ดึงดูดให้ คนเข้ามาหามาพึ่งพาทางด้านจิตใจ เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น ได้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย แม้ว่าจะรักความสงบสักแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่รักครอบครัวมากอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ดอกหญ้า
สำหรับคนที่ชอบดอกหญ้าเล็กๆ ตามริมทาง ไม่ว่าจะเป็นดอกอะไรก็ตาม นิสัยมักเป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบผูกพันหรือมีพันธะกับใคร แม้แต่คนในครอบครัวตัวเองก็ตาม ชอบใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เดินทางไปนั่นมานี่เพื่อแสวงหาประสบการณ์ชีวิต เพราะความ เป็นคนที่ชอบศึกษาและเรียนรู้เอามากๆ นั่นเอง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ให้ค่าความสำคัญต่อเรื่องความซื่อสัตย์และคุณธรรมความดีเป็น อย่างยิ่ง จะทนไม่ได้เลยหากโดนโกหกหลอกลวง

ดอกทิวลิป
คนที่ชอบดอกทิวลิปมักมีนิสัยช่างคิดช่างฝัน เต็มไป ด้วยจินตนาการที่ลื่นไหลไม่ยอมหยุด ทั้งยังมากด้วยอารมณ์อันโรแมนติกเต็มเปี่ยมในหัวใจ หลงรักคนง่าย แต่ก็จะเปลี่ยนใจง่ายเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มักช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มอกเต็มใจเสมอ เป็นที่ พึ่งพิงของคนที่มีความทุกข์ได้อย่างวิเศษ แต่ในขณะ เดียวกันก็จะเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองมาก ไม่ค่อย ชอบให้ใครเข้ามายุ่งในเรื่องส่วนตัว

ดอกราชพฤกษ์
คนที่ชอบดอกราชพฤกษ์หรือดอกคูน ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติไทยเรานั้น มักเป็นนักมนุษยธรรม เป็นคนใจบุญ ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกๆ คน ชอบความเท่าเทียม และต้องการเห็นคนทุกคนเสมอภาคกัน นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า รักอิสระ และจะไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ใดๆ เข้ามามี อิทธิพลในชีวิต เป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ มีเพื่อนมาก และรัก เพื่อนฝูงเท่าเทียมกันทุกคน มีความเป็นผู้นำทางความคิดในสังคม

ดอกบานไม่รู้โรย
คนที่ชอบดอกบานไม่รู้โรยจะเป็นคนเงียบๆ ดูธรรมดา แต่จะมีความเยือกเย็น หนักแน่น เอาจริงเอาจัง และค่อนข้างจะถือตัวอยู่สักหน่อย ไม่ชอบให้ใครมาพูดเล่นด้วยเรื่อยเปื่อย ดูเหมือนเป็นคนเย็นชา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าใกล้นัก อย่างมากก็มองดูด้วยความชื่นชมอยู่ห่างๆ นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ไม่ชอบชีวิตที่ตื่นเต้นโลดโผน แต่ต้อง การความหนักแน่นที่ต่อเนื่องมั่นคง และเสมอต้นเสมอปลายมากกว่า

ดอกซ่อนกลิ่น
มาถึงคนที่ชอบดอกซ่อนกลิ่นกันบ้าง แม้ว่าบาง คนอาจจะถือเป็นดอกไม้ที่ไม่นิยมนำมาประดับบ้านในเวลาปกติก็ตาม แต่ก็มีคน ชอบไม่น้อยเลยทีเดียว นิสัยของคนที่ชอบดอกซ่อนกลิ่นนี้ดูผิวเผิน อาจจะคิด ว่าเป็นคนง่ายๆ แต่ถ้าได้คบหาจะพบว่า เป็นคนที่มีความลึกซึ้งมาก ทั้งยัง เป็นคนที่เชื่อมั่นและหยิ่งทะนงในตัวเองอย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ชอบเก็บความรู้สึก มักไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่ และยังไม่ ใช่คนที่เปิดเผยตัวให้ใครเข้ามารู้จักง่ายๆ ถ้าไม่มีความคิดลึกซึ้งเพียงพอ

ดอกเฟื่องฟ้า
สำหรับคนที่ชอบดอกเฟื่องฟ้าที่เป็นดอกไม้ธรรมดา แถมยังดูออกไปทางเชยๆ อีกต่างหาก มักเป็นคนที่มีความเป็นกันเอง ชอบแสวงหาเพื่อน หรือหยิบยื่นมิตรภาพให้ใครต่อใครเสมอ ชอบดูแล ช่วยเหลือคนอื่นด้วยจิตใจที่ปรารถนาดีเต็มเปี่ยม ในขณะ เดียวกันก็เป็นคนที่เปราะบาง เจ็บปวดง่าย แต่จะไม่ใช่คนฟูมฟาย หรือต้อง การให้ใครมาปลอบโยน เป็นคนที่มีความอดทนเป็นเลิศพอๆ กับความอ่อนไหว ปรวนแปรใน จิตใจ

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553


ดอกไม้ประจำวันเกิด

จะมีคนสักกี่คน ที่รู้ถึงความหมายและพลังแห่งดอกไม้ว่า...ดอกไม้แต่ละดอกล้วนมีพลังธรรมชาติและพลังแห่งความรักที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของมันเอง...มนุษย์มีความผูกพันกับดอกไม้และต้นไม้มานาน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างดอกไม้และวันเกิดของคนแต่ละคนจึงมีดอกไม้แห่งโชคลาภและความเป็นมงคลในชีวิตแตกต่างกันไปด้วย ดอกไม่มงคลที่เพิ่มพลังแห่งรักและเป็นตัวแทนของคนที่เกิดในแต่ละวันนั้น จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคนที่เกิดในวันนั้นๆ คุณคงอยากรู้แล้วว่าดอกไม้อะไรมีความสัมพันธ์กับคุณเพียงไหน ก็อ่านดูในวันเกิดของคุณ
แล้วคุณจะเห็นความมหัศจรรย์ของพลังแห่งดอกไม้เหล่านั้น...

1. ดอกไม้แห่งรักของคนเกิดวันอาทิตย์
โบราณมักดูจากพลังของดาวประจำดวงชะตาของคนเกิดวันอาทิตย์ว่า ความรักเป็นเรื่องจริงจัง และเป็นคนเลือกมาก แต่เมื่อตัดสินใจแล้วมักจะเป็นของจริง ความรักมั่นคงและยั่งยืน ดอกไม้แห่งความรักสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์คือ ดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งหมายถึงความมั่งคงและความสุขที่ยั่งยืน ดอกกุหลาบเป็นดอกไม้ที่มีความหอมและมีกลีบสวย อันหมายถึงความรักของหนุ่มสาววันอาทิตย์จะเปี่ยมด้วยความหอมจรุงใจและความอ่อนโยนทะนุถนอมซึ่งกันและกัน หนามของกุหลาบจะสื่อความหมายถึงความทรนง และความเข้มแข็งแห่งจิตวิญญาณของความรักและครอบครัว หากคุณจะมอบดอกไม้แห่งความรักให้หนุ่มและสาวที่เกิดวันอาทิตย์ คุณต้องมอบดอกไม้แห่งดวงชะตาของวันอาทิตย์ คือ ดอกุหลาบสีแดง นั่นเอง

2. ดอกไม้แห่งความรักของคนที่เกิดวันจันทร์
เมื่อเรานับพลังจากระบบสุริยจักรวาล พลังสีเหลืองของดวงจันทร์จะมีอิทธิพลต่อความสงบ สีเหลืองจึงเป็นสีแห่งการหลับใหล และความสุขยามค่ำคืน การพักผ่อน และรางวัลแห่งชีวิตที่ยิ่งใหญ่ หากคุณเกิดวันนี้ ความรักของคุณจะเริ่มต้นด้วยความสับสนเพราะความหลายใจของคุณ แล้วจึงค้นหาความสุขอ่อนหวานที่แท้จริงได้ คุณไม่ชอบคนห้าวก้าวร้าวมากนัก ดอกไม้แห่งความรักของคนที่เกิดวันจันทร์นั้นค่อ ดอกเบญจมาศสีเหลือง สื่อความหมายถึง ความสุขเต็มหัวใจเหมือนดั่งพระจันทร์ ก้านดอกอ่อนไหวบ่งบอกถึงความอ่อนไหวของจิตใจ ดอกซับซ้อนไล่สีเป็นชั้นๆ หมายถึงการค้นหาความสุขที่แท้จริง กลางเกสรมีสีขุ่ม จึงเป็นความหมายของความสำเร็จแห่งความรัก ที่ได้มาด้วยความพยายาม กลีบดอกรวบไปสู่จุดศูนย์กลาง อันสื่อความหมายถึง การแสวงหาหนทางสู่ความสำเร็จแห่งรัก หากคุณจะมอบดอกไม้ให้คนวันจันทร์นั้นควรเลือกดอกเบญจมาศสีเหลือง จะสื่อความหมายแห่งความรักของคนเกิดวันจันทร์ได้ดียิ่ง ว่าความสันติสุขในความรัก จะบังเกิดอย่างยั่งยืนในหัวใจของคนสองคน

3. ดอกไม้แห่งความรักของคนที่เกิดวันอังคาร
เมื่อดาวอังคารเป็นดาวสงครามและการต่อสู้ แต่นำไปสู่สันติภพของชีวิตในบั้นปลาย คนที่เกิดวันอังคารจึงเป็นยอดนักสู้ บางครั้งอาจจะดูซื่อๆ ไม่ค่อยทันคนเป็นธรรมชาติของคนเกิดวันนี้ สีชมพูเป็นสีหวานแหวว จึงให้ความหมายของพลังความอ่อนโยนของคำพูด ความคิด ดอกไม้ แทนความรักของคนเกิดวันอังคาร คือ ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึง มิตรภาพที่เริ่มต้นด้วยสันติภาพของหัวใจ ความเป็นอิสระแห่งความรักและการเริ่มต้น แต่มีความมั่นคงในความรัก การมอบดอกคาร์เนชั่น จะสื่อความหมายถึง การร่วมกันสร้าววิมานแห่วความฝันด้วยกัน และการพร้อมจะเดินเคียงกันต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันในวันข้างหน้า กลีบของคาร์เนชั่น หมายถึงความอ่อนโยนถนอมรักและการลดทิฐิซึ่งกันและกัน กานบางของดอกให้ความหมายว่า ความอ่อนหวาน ก็มีกลังยึดความรักให้ยั่งยืนได้ ทั้งดอกและก้านรวบเข้าหากัน ก็เป็นพลังแห่งความรักและสันติสุขของมิตรภาพที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน

4. ดอกไม้แห่งความรักของคนเกิดวันพุธ
เมื่อพลังชีวิตเป็นดาวพุธที่หมุนอยู่เสมอ ความแน่นอนจึงเป็นเรื่องสำคัญของคนวันพุธ สื่อที่แสดงความรู้สึกความรักของคุณได้อย่างดีแม้ว่าคุณจะผ่านกาลเวลาแห่งความรักมาสักเท่าใดก็ตาม แต่ความรักที่แน่วแน่ในใจของคุณคือการเริ่มต้นครอบครัวและสานฝันแห่งความรักกับเขาคนนี้อย่างแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงคือ ดอกหน้าวัว วัวเป็นพาหนะของพระศิวะ หรือพระอินทร์นั่นเอง ดอกหน้าวัว ชื่ออาจจะไม่เก๋ แต่มีความหมายถึงพาหนะของพระอิศวรที่เป็นใหญ่ในสวรรค์ ดอหน้าวัวสีเขียวเป็นดอกไม้ที่มีความเป็นอมตะในความหมายแห่งความรักที่ดีมาก เพราะมันหมายถึงการเริ่มต้นด้วยกันที่นำไปสู่ความงอกงามของชีวิตชั่วนิจนิรันดร ก้านดอกแข็งแรงมั่นคง อันหมายถึงการตัดสินใจที่มั่นคงชัดเจน ลักษณะของดอกปลายรีเรียวสดสวยและมีเงาเคลือบสวยหมายถึงความมั่นใจในหัวใจและความรักของตัวเอง ปลากเกสรซึ่งตรงสู่แสงแดดจ้า สื่อให้เห็นถึงความสำเร็จที่ท้าทาย และบั้นปลายที่สุขสมหวัง หากคนรักของคุณเกิดวันพุธ ดอกหน้าวัวสีเขียว เป็นดอกไม้แทนสื่อความรักในวันวาเลนไทน์ที่หมายถึงความงอกงามของชีวิตเริ่มขึ้นแล้วในหัวใจของเธอและฉันที่อมตะนั่นเอง

5. ดอกไม้แห่งความรักของคนเกิดวันพฤหัส
ชีวิตของคุณกว่าจะพบความสำเร็จได้ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก การก้าวเดินไปตามเส้นทางของชีวิตคุณนั้นได้มาจากสติปัญญาโดยแท้ มักเป็นคนอ่อนน้อมยอมคนอยู่เสมอ แต่เวลาจะดื้ทิฐิขึ้มา ใครรั้งคุณไม่อยู่เลยทีเดียว ดอกไม้แทนความรักของคุณที่เกิดวันพฤหัสบดี เป็นดอกไม้ที่เกิดจากโคลนตมแต่ไม่เปื้อนโคลนตามชาติกำเนิดของตัวเอง มีความสดใสและปิ่มน้ำรอวันแห่งความเบิกบานของปัญญาแห่งชีวิต ความรักของคุณจึงเป็นความเข้าใจ และร่วมทุกข์ร่วมสร้างกันมาจนมีญานะแห่งชีวิตที่มั่นคงได้ ดอกไม้ดอกนั้นเป็น ดอกบัว อันมีความหมายถึงที่เกิดของพระโพธิสัตว์หรือว่านักปราชญ์อันยิ่งใหญ่ ดอกบังมีสามลีลา ดอกบัวตูม คือ ความรักที่พบเจอจากการค้นหาของสติแห่งวิญญาณไม่มีความเพ้อฝันมากมาย ดอกบัวกำลังบาน เป็นการมองหาสัจธรรมของการครองเรือนได้อย่างชัดเจน ความอดทนและรอคอยเป็นสิ่งที่ดีของชีวิต ดอกบัวบาน เป็นความสำเร็จที่นิรันดรของความรักและชีวิต หากมอบดอกไม้ให้คนรักของคุณที่เกิดวันพฤหัสบดี ดอกบัวสีม่วง สื่อรักวาเลนไทน์แทนความหมายของความรักที่สูงส่ง ห่วงใยอาทรและมั่นคงซึ่งกันและกันนั่นเอง

6. ดอกไม้แห่งความรักของคนเกิดวันศุกร์
ดาวศุกร์เป็นดาวที่แสวงหาไม่มีสิ้นสุดและค้นหาอย่างลึกลับ การได้มาของสิ่งใดก็ตามมันเป็นเรื่องเหนือธรรมดา คนที่เกิดวันนี้สิ่งที่ต้องการคือแสงสว่างแห่งความรักที่มาจากใจ และไปได้ทั่วทิศ จะถือว่าเป็นแสงสว่างที่ทำให้ความปรารถนาของการแสวงหาลงตัวที่สุด คุณชอบดอกไม้ที่มีทั้งความหอมและความอ่อนโยนผสมกัน คุณเป็นคนก้าวร้าวแข็งเหลือประมาณ จึงชอบแทนความรู้สึกที่เรียกหาจากคนรักด้วยความอ่อนหวาน และความอ่อนโยน เป็นคนช่างฝัน ดอกไม้แทนรักที่เหมาะสมและมีความหมาย นั่นก็คือ ดอกลิลลี่สีส้ม หรือ ดอกลิลลี่สีชมพู ปลายกลีบเป็นแฉกแยกเป็นทิศไปทั่วองศา หมายถึงการค้นหาความสุดยอดแห่งความรักแล้วพบเจอมัน คือที่สุดของหัวใจ ใบ และก้านไม่แข็งมากแต่ไม่อ่อนเกิน จึงเป็นลักษณะของการผสมผสานของอารมณ์แห่งความรักได้อย่างลงตัว หากคุณยื่นดอกไม้ในวันแห่งความรักให้กับคนที่เกิดวันศุกร์ มอบดอกไม้ลิลลี่สีชมพู หรือลิลลี่สีส้ม แทนหัวใจคุณทั้งหมด หรือแทนความรู้สึกทั้งหมด จะสื่อความหมายถึงรักและจริงใจกับคุณมากสุดหัวใจอย่างแท้จริงนั่นเอง

7. ดอกไม้แห่งความรักของคนเกิดวันเสาร์
การทำงานหรือการสร้างอนาคตของคนที่เกิดวันนี้ มักจะมีคนอุปถัมภ์เสมอ ดาวเสาร์มักจะเป็นดาวที่ใช้เวลาในการรอคอยเพื่อคู่ครองที่แท้จริงได้ แม้จะนานแค่ไหนก็รอได้อย่างใจจดใจจ่อ เดินผ่านความผิดหวัง และความล้มเหลวมาหลายหน แต่เป็นบทเรียนของความรักที่ดีเพื่อการสร้างอนาคตที่ลงตัวของชีวิตให้ยืนยาวได้อย่างมั่นใจ เป็นคนมีความรักจริงคนเดียว แต่ชอบสนุกหรืออดไม่ได้ที่จะขอเปรี้ยวบ้าง เห็นจะต้องทำใจ หากตราบใดเขายังให้เกียรติคุณอย่างมากเพียงพอ ก็ขอให้เฉยเสียบ้าง ดอกไม้แทนความรักสื่อแห่งความหมายที่ลึกซึ้งแห่งรักของคนที่เกิดวันเสาร์ คือ ดอกเยอเบร่าสีม่วง ดอกเยอเบร่าเป็นดอกไม้แห่งรัก เพราะว่ากลีบซับซ้อนของดอกจะพุ่งออกมาจากจุดศูนย์กลางเหมือนวันเสาร์ ที่มีรัศมีเป็นพวยพุ่งออกมาจากจุดเริ่มต้น สีที่ซับซ้อนมากมาย แต่เห็นริ้วรอยเป็นสีม่วงไม่ว่าอ่อนหรือเข้มก็ตาม เป็นสีแห่งชัยชนะของความรัก หรือว่าถนนแห่งมิตรภาพ แห่งความรักที่ยั่งยืน หากคุณมอบดอกไม้ให้กับคนที่เกิดวันเสาร์ดอกเยอเบร่าสีม่วง เป็นดอกไม้ที่แทนความหมายว่าคุณคือคนกำหัวใจแห่งชัยชนะในความรักของฉันตลอดมาและตลอดไป